สหกรณ์กรีนเนทเป็นกิจการแรก ๆ ในประเทศไทยที่ทำงานในประเด็นเกษตรอินทรีย์ ในยุคที่ผู้บริโภคในประเทศไทยยังไม่มีความเข้าใจในสินค้าเกษตรอินทรีย์ และยังเป็นกิจการแรกในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองการค้าที่เป็นธรรม (Fair Trade) ทั้งสองสิ่งนี้สะท้อนความจริงจังและตั้งใจของ คุณวิฑูรย์ ปัญญากุล และทีมงาน ในการทำให้สหกรณ์กรีนเนทบรรลุวัตถุประสงค์ทั้งทางสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยการส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรและกลุ่มผู้ผลิต ในลักษณะของการจัดการห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนการขายสินค้าผลผลิตเกษตรของเกษตรกรสมาชิก เป็นเครื่องมือสู่การบรรลุเป้าหมายนั้น ในทางสังคม สหกรณ์กรีนเนทส่งเสริมการค้าที่เป็นธรรมในกลุ่มเกษตรกรที่เป็นคู่ค้า การทำงานอย่างต่อเนื่องและจริงจัง เสริมด้วยการตรวจรับรอง ทำให้ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศมั่นใจได้ว่าตลอดกระบวนการผลิตสินค้าไม่มีการเอารัดเอาเปรียบเกษตรกรรายย่อยอย่างแน่นอน ส่วนการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ นอกจากจะดีต่อสุขภาพของผู้บริโภคแล้ว ก็ยังเป็นเครื่องการันตีการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เส้นทางของสหกรณ์กรีนเนทยาวนานเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา จึงเป็นการเดินทางด้วยความกล้าหาญที่ทำในสิ่งที่ดีต่อผู้ผลิต ผู้บริโภค และต่อโลกของเรา
Q: สหกรณ์กรีนเนท เป็นธุรกิจเกี่ยวกับอะไร
A: ถ้าให้เข้าใจง่ายที่สุด คือ เรามีกลุ่มเป้าหมายเป็นเกษตรกรรายย่อย และทำ 2 เรื่องหลัก ได้แก่ เรื่องเกษตรอินทรีย์ และเรื่องการค้าที่เป็นธรรม (Fair Trade)
Q: อะไรคือจุดเริ่มต้นของสหกรณ์กรีนเนท และชื่อ “กรีนเนท (Green Net)” มีที่มาอย่างไร
A: ก่อนหน้าที่จะตั้ง Green Net ผมทำงานกับองค์กรเอกชนมาก่อน เราพบว่าเกษตรกรประสบปัญหาจำหน่ายผลผลิตได้ราคาที่ไม่ยุติธรรม ส่วนองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานกับเกษตรกรต้องขอทุนจากภายนอกมาทำเป็นโครงการ ได้โครงการจบ ก็เลิกทำงาน แบบนี้มันพึ่งพาตนเองไม่ได้ และไม่มีความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ
ด้วยปัญหาที่พบ จึงเห็นว่าน่าจะดีหากจัดตั้งองค์กรที่ดูแลเรื่องการตลาดให้เกษตรกรได้มีช่องทางจำหน่ายผลผลิต และผลผลิตจำหน่ายได้ราคากว่าที่เป็นอยู่ สามารถเลี้ยงดูตนเองได้ นี่จึงเป็นแนวคิดหลักของการมี Green Net และสาเหตุที่เลือกทำเกษตรอินทรีย์ก็ชัดเจนว่า ผู้บริโภคมีความสนใจ และพร้อมที่จะจ่ายเงินในจำนวนที่สูงขึ้น เพื่อให้ได้บริโภคสินค้าที่เป็นเกษตรอินทรีย์
ส่วนการจัดตั้งเป็นสหกรณ์ ด้วยความที่เป็นธุรกิจ และจำเป็นต้องอาศัยการส่งออก เพราะตลาดในประเทศไทยยังไม่เกิด ให้เกษตรกรรอผู้บริโภคไม่ไหว การมีสถานะเป็นนิติบุคคลจึงเป็นเรื่องสำคัญ แน่นอนว่ามีทางเลือกทั้งจัดตั้งเป็นบริษัทและเป็นสหกรณ์ แต่ด้วยประเภทผลผลิตข้าวเป็นสินค้าหลัก การส่งออกโดยเป็นบริษัท มีข้อกำหนดทางกฏหมายที่ค่อนข้างมาก รวมไปถึงความต้องการที่อยากให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการเป็นผู้ถือหุ้นด้วย การจัดตั้งในรูปแบบสหกรณ์ จึงมีความเหมาะสมกับเรามากกว่า
ส่วนชื่อ “กรีนเนท (Green Net)” ก็ตรงไปตรงมาครับ ย่อมาจากคำว่า Network ที่แปลว่า เครือข่าย เป็นเครือข่ายของกลุ่มผู้ผลิต เพราะเราทำงานกับกลุ่มผู้ผลิตทั่วประเทศ ไม่ได้ทำเฉพาะพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเท่านั้น การทำงานในลักษณะนี้จะทำให้บรรลุ Economies of Scale ในทางธุรกิจได้ เราเชื่อว่าถ้าผู้ผลิตที่เป็นกลุ่มย่อย ๆ ในรูปของเครือข่าย จากแต่ละพื้นที่มารวมกันจะดีกว่า ผู้ผลิตของเราจึงมีมากกว่า 12 กลุ่มในปัจจุบัน โดยเกษตรกรแต่ละคนก็เป็นสมาชิกในแต่ละกลุ่มผู้ผลิตของเขา ในขณะเดียวกัน เกษตรกรทุกคนก็เป็นสมาชิกสหกรณ์กรีนเนทด้วย เพราะเราเป็นสหกรณ์ระดับประเทศ
Q: ปัญหาสังคมประเด็นใดที่ Green Net มองเห็นและตัดสินใจเข้าไปแก้ไข
A: ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ภาคเกษตรในสังคมบ้านเรา เป็นภาคส่วนที่ด้อยโอกาสที่สุดแล้ว แม้ปัจจุบันจะมีส่วนที่เป็นคนจนเมือง ซึ่งเริ่มขยายตัวมากขึ้น แต่เมื่อเทียบจำนวนแล้ว คนที่ยากจนหรือด้อยโอกาสทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมอยู่ในภาคชนบทมากกว่า ซึ่งพวกเขายังคงทำการเกษตรอยู่ เพราะฉะนั้น เราจึงมีนโยบายเลือกภาคเกษตรเป็นกลุ่มเป้าหมาย และเลือกทำงานกับเกษตรกรที่เป็นผู้ผลิตรายย่อย ซึ่งจะเข้าเป็นสมาชิกของ Green Net สมาชิกของเราไม่มีฟาร์มรายใหญ่หรือฟาร์มของบริษัท โดยเกษตรกรรายย่อยในความหมายนี้คือ Family Farm หรือ เกษตรครอบครัว ก็คือเกษตรกรที่ใช้แรงงานของตัวเองเป็นหลักในการผลิต อาจจะมีการจ้างรถไถ ใช้เครื่องจักรบ้าง แต่หลัก ๆ แล้ว ลงแรงทำกันเองในครอบครัว
Q: ใช้ Business Model รูปแบบไหนในการแก้ปัญหา และมีสินค้าหรือบริการอะไรบ้างที่ทำให้องค์กรอยู่รอดได้
A: การแก้ปัญหาให้เกษตรกร มีเรื่องที่ต้องบริหารจัดการ 2-3 เรื่อง
เรื่องแรก คือ การรวบรวมผลผลิตของเกษตรกรเพื่อจำหน่าย ในความหมายนี้คือ การจัดการ supply chain (ห่วงโซ่อุปทาน) ของสินค้าแต่ละกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นข้าว มะพร้าว และอื่น ๆ เพราะแต่ละสินค้ามี supply chainที่ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น เราต้องออกแบบการจัดการ supply chain ที่เหมาะกับขนาดธุรกิจของเรา
แน่นอนว่าสิ่งที่เป็นพื้นฐานเบื้องต้นของเกษตรกรในแง่ของ supply chain คือ การประกันราคาขั้นต่ำให้กับเกษตรกร ซึ่ง Green Net ก็ใช้นโยบายนี้มาตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ว่าวิกฤตในตลาดจะเป็นอย่างไร แต่เรายังยืนราคารับซื้อผลผลิตในราคาขั้นต่ำ หรือ minimum price เสมอ
ราคาผลผลิตในตลาดแต่ละช่วงอาจจะขึ้นลงไปตามสถานการณ์ ช่วงไหนที่ราคาตลาดสูงกว่าราคาขั้นต่ำ เราจะซื้อในราคาตลาดบวกค่าส่วนต่างที่เป็นพรีเมียม หรือเรียกว่าเป็น “Organic Premium” ก็ได้ โดยราคาส่วนต่างอยู่ที่ประมาณ 10-15 เปอร์เซ็นต์จากราคาตลาด และการประกันราคาที่ว่านี้ก็รวมไปถึงการรับซื้อผลผลิตทั้งหมดที่เกษตรกรต้องการจะขาย เพราะมีบางโมเดลธุรกิจที่ให้ประกันราคาไว้สูงมาก แต่ซื้อแค่ 5-10 เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตทั้งหมดที่เกษตรมี คือ รับซื้อเฉพาะสินค้าที่ตัวเองมีออร์เดอร์ หรือมีความมั่นใจในการขายเท่านั้น โมเดลแบบนั้นความเสี่ยงก็จะตกอยู่ที่เกษตรกร แต่กรณีของเราไม่ใช่ เราจะรับซื้อทั้งหมด เพราะฉะนั้น ความเสี่ยงทางการตลาดจะกลับมาอยู่ที่ตัวสหกรณ์กรีนเนท แทนที่จะอยู่กับเกษตรกรสมาชิก นี่คือเรื่องที่สองที่เราต้องจัดการ
เรื่องที่ 3 คือ การพัฒนาขีดความสามารถของเกษตรกร แน่นอนว่าเรื่องแรก ๆ ที่เราทำ เพื่อให้มีผลผลิต เกษตรกรเองบางคนก็สนใจที่จะปรับปรุงคุณภาพ เพิ่มผลผลิต ลดค่าใช้จ่าย เมื่อเราได้ “ตอบโจทย์พื้นฐาน” ของเกษตรกรในเรื่องการผลิตและการตลาดแล้ว เราจึงขยับมาสู่ประเด็นที่ท้าทายขึ้น เช่น ความมั่นคงด้านอาหาร ความหลากหลายทางชีวภาพ หรือล่าสุดที่กำลังเป็นประเด็นสำคัญมาก คือ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หรือ climate change ซึ่งไม่ได้เป็นปัญหาใหม่ แต่เป็นปัญหามานานเกือบ 10 ปีแล้ว โดยเราเน้นไปที่เรื่องการปรับตัวรับมือกับโลกร้อนมากกว่าเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งในความเป็นจริงควรทำทั้ง 2 ด้านควบคู่กันไป แต่คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญเรื่องการลดการปล่อยก๊าซมากกว่า
Q: เริ่มก่อตั้งธุรกิจตั้งแต่ปี 2536 ความท้าทายในช่วงเวลานั้นมีอะไรบ้าง
A: ไม่มีใครรู้จักธุรกิจเพื่อสังคม และเกษตรอินทรีย์เลย แง่หนึ่งก็มองว่าง่าย เพราะการที่ไม่มีคนรู้จักเลย แปลว่าคู่แข่งมีน้อย แต่จะว่ายากก็ยาก เพราะไม่มีคนรู้จัก และตัว Business Model ที่เป็นการทำงานกับเกษตรกร โดยมีด้านสังคมมาเกี่ยวข้องด้วย ยังคงเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับยุคนั้น สายธุรกิจก็มองว่าเราเป็นพวกสังคมที่พยายามจะทำธุรกิจ ส่วนสายสังคมก็มองว่าเราเป็นพวกธุรกิจที่มีการโฆษณาด้านสังคม เราจึงไม่ต่างจากตัวประหลาดที่อยู่ตรงกลาง ไม่เข้าพวกเท่าไหร่นัก นี่คือความท้าทายในแง่ของการถูกยอมรับจากคนในสังคม
ส่วนเรื่องการจัดการ ผมคิดว่าไม่แตกต่าง ตั้งแต่เมื่อ 30 ปีที่แล้ว supply chain ก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ เพราะระบบภาคธุรกิจ รวมไปถึงภาคเกษตร ส่วนใหญ่ไม่ได้มองเรื่องห่วงโซ่ต่าง ๆ ที่เราเรียกว่าต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ แนวคิดแบบนี้ยังมีไม่ค่อยมากนัก มีเพียงบริษัทใหญ่ ๆ ที่เริ่มเชื่อมโยงห่วงโซ่เข้าหากัน
เราเลือกจัดการ supply chain ที่เชื่อมโยงตั้งแต่ปัจจัยการผลิตของเกษตรกรไปจนถึงการขาย โดยมี Green Net เป็นคนบริหารห่วงโซ่ ซึ่งท้าทายพอสมควรสำหรับธุรกิจ เพราะแทบจะไม่มีธุรกิจใดที่ทำแบบนั้น ใครเป็นผู้ส่งออกก็จะไม่รู้เรื่องโรงสี โรงสีก็จะไม่รู้เรื่องเกษตรกร ส่วนเกษตรกรก็จะไม่รู้เรื่องส่งออก เป็นต้น แต่ลักษณะที่ Green Net ทำจะกลับกัน เราเข้าไปเกี่ยวข้อง เข้าไปบริหาร ประสานงานกับห่วงโซ่ที่เกี่ยวข้องเหล่านั้นทั้งหมดเลย
Q: ทำไม Green Net เลือกที่จะทำเรื่องเกษตรอินทรีย์ และการค้าที่เป็นธรรม ควบคู่กันไป
A: ถ้าเข้าใจลึกขึ้นจะเห็นว่าเกษตรอินทรีย์เป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม ส่วนการค้าที่เป็นธรรม (fair trade) เป็นเรื่องสังคม และทั้ง 2 เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นและเติบโตในต่างประเทศมานาน เรียกว่าก่อนที่ Green Net จะตั้งขึ้น สองเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่างยุโรป อเมริกา และอื่น ๆ มาเกือบ 40-50 ปีแล้ว เพราะฉะนั้น ค่อนข้างง่ายสำหรับการตัดสินใจว่าเราจะทำทั้งเกษตรอินทรีย์ และแฟร์เทรด เพื่อให้ตอบโจทย์ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมควบคู่กันไป
ความเป็นเกษตรอินทรีย์ยังมีข้อที่น่าสนใจมากกว่านั้น เพราะไม่ได้ตอบโจทย์เฉพาะเรื่องสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว แต่มีโอกาสทางการตลาดแฝงอยู่ด้วย ซึ่งแฟร์เทรดก็เช่นเดียวกัน มีกลุ่มผู้ซื้อ ผู้นำเข้า ผู้กระจายสินค้า และผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยที่เลือกซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์ หรือสินค้าที่เป็นแฟร์เทรด หรือซื้อทั้งสองอย่าง นี่เป็นการทำตลาดแบบ Market Segmentation (การแบ่งส่วนตลาด) ในช่วงหลัง ๆ อาจจะคุ้น ๆ ศัพท์ทางธุรกิจที่ว่าต้องหา “Blue Ocean (น่านน้ำสีฟ้า)” ก็คือพื้นที่ทางธุรกิจที่มีความต้องการของลูกค้าอยู่ แต่ไม่มีผู้ตอบสนองความต้องการนั้น ๆ หรือมี แต่น้อยมาก ตอนเพิ่งเริ่มธุรกิจใหม่ ๆ ยังไม่มีคำนี้ แต่อาจจะมีแนวคิดแบบนี้อยู่แล้ว เพราะเป็นแนวคิดพื้นฐานของการทำธุรกิจเพื่อที่จะหาโอกาสทางธุรกิจ ดังนั้น ถ้าในแง่ของเกษตรอินทรีย์สำหรับ Green Net เราอาจจะเป็นเจ้าที่ 2 ในประเทศไทย แต่เรื่อง Fair Trade เราอาจจะเป็นเจ้าแรก ดังนั้น การเลือกทำทั้งสองเรื่อง จึงเป็นโอกาสทางธุรกิจในขณะนั้น
ตัว Business Model ที่เป็นการทำงานกับเกษตรกร โดยมีด้านสังคมมาเกี่ยวข้องด้วย ยังคงเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับยุคนั้น สายธุรกิจก็มองว่าเราเป็นพวกสังคมที่พยายามจะทำธุรกิจ ส่วนสายสังคมก็มองว่าเราเป็นพวกธุรกิจที่มีการโฆษณาด้านสังคม เราจึงไม่ต่างจากตัวประหลาดที่อยู่ตรงกลาง ไม่เข้าพวกเท่าไหร่นัก นี่คือความท้าทายในแง่ของการถูกยอมรับจากคนในสังคม
จนถึงปัจจุบัน เกษตรอินทรีย์และแฟร์เทรดก็ยังคงมีการเติบโตค่อนข้างดี จากรายงานทางการตลาดตั้งแต่ช่วง 7-8 ปีก่อน ที่เศรษฐกิจเริ่มซบเซา หรือแม้แต่ช่วงโควิด ก็ยังพบว่า สินค้าจำพวกเกษตรอินทรีย์ยังคงเติบโตเช่นเดิม เรียกว่าไม่เคยติดลบเลย เพียงแต่เปอร์เซ็นต์การเติบโตอาจจะลดลงตามสภาพเศรษฐกิจหรือสถานการณ์บ้าง ช่วงที่เศรษฐกิจดีอยู่ที่ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้อาจจะลดเหลือ 7-8 เปอร์เซ็นต์ แต่ถือว่ามีอัตราการเติบโตที่ดีเมื่อเทียบกับธุรกิจประเภทอื่น
Q: เกษตรอินทรีย์คืออะไร เหมือนหรือแตกต่างจากเกษตรปลอดสารเคมีอย่างไร
A: เกษตรปลอดสารเคมีเป็นชื่อเล่น เป็นภาษาที่ไม่เป็นทางการ แต่เป็นชื่อเล่นที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดค่อนข้างมาก ความเข้าใจผิดอาจจะมี 2 ระดับ ระดับแรกอาจจะเข้าใจว่าเกษตรปลอดสารเคมี คือ ถ้าใช้สารเคมีแล้วให้เว้นระยะก่อนการเก็บเกี่ยว หรืออีกระดับ คือ ไม่ได้มีสารเคมีปนเปื้อนเลย ซึ่งไม่มีใครสามารถให้คำจำกัดความได้ชัดเจนว่าเกษตรปลอดสารเคมีคืออะไรกันแน่ ผู้คนมักจะเกิดความเข้าใจที่สับสน เพราะชื่อเป็นชื่อที่สับสน
เราจึงตั้งใจหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า “เกษตรปลอดสารเคมี” มา 20 กว่าปีแล้ว ช่วงแรก ๆ เราเคยใช้คำนี้เช่นกัน แต่เมื่อเริ่มพิจารณาไตร่ตรองมากขึ้น ก็เห็นว่ามันเป็นคำที่ค่อนข้างมีปัญหา เพราะการสื่อสารให้ผู้คนเข้าใจเหมือนกัน มันเป็นไปไม่ได้
ยกตัวอย่างเช่น ถามว่าถ้าพูดถึงข้าวหอมมะลิจะนึกถึงอะไร เชื่อไหมว่ามีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่เข้าใจว่าข้าวหอมมะลิ เป็นข้าวที่มีกลิ่นหอมเหมือนดอกมะลิ หรือเข้าใจว่า “มะลิ” เป็นชื่อของท้องถิ่นที่ปลูกข้าว ซึ่งไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ชื่อที่ถูกต้องจริง ๆ คือ “ข้าวขาวดอกมะลิ 105” เป็นนัยยะการเปรียบความขาวของข้าวว่าขาวราวดอกมะลิ แต่การพูดต่อ ๆ กันมาจนติดปากทำให้ความหมายดูบิดเบือนไป และพูดถึง “ข้าวหอมมะลิ” ในทางที่เป็นความรู้สึกมากกว่าความหมายที่แท้จริง ผมคิดว่าความหอมของมันค่อนไปทางกลิ่นใบเตยมากกว่า แต่ด้วยชื่อเล่นของมัน จึงทำให้คนเกิดความเข้าผิด เช่นเดียวกับที่เราเข้าใจคำว่า “เกษตรปลอดสารเคมี” แบบผิด ๆ เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นไปได้ก็ควรเลี่ยงที่จะใช้คำนี้
ย้อนกลับมาที่คำว่าเกษตรอินทรีย์ ผมบอกว่าเป็นเกษตรที่ไม่ใช้สารเคมี แต่จริง ๆ แล้วเกษตรอินทรีย์อนุญาตให้ใช้สารเคมีได้เป็นบางชนิด และเป็นชนิดที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำมาก เช่น ผงฟู ด่างทับทิม คลอรีน เป็นต้น เพราะฉะนั้น ถ้าบอกว่าเกษตรอินทรีย์เป็นเกษตรที่ไม่ใช้สารเคมีเลย ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะยังอนุญาตให้ใช้ได้อยู่ และในขณะเดียวกัน สารจากธรรมชาติ ถ้ามีความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม เกษตรอินทรีย์ก็จะห้ามใช้ด้วย
ส่วนในความหมายของเกษตรปลอดสารเคมีที่ว่า เป็นเกษตรที่ไม่มีสารตกค้างปนเปื้อน ข้อความนี้ยิ่งไม่เป็นความจริง แม้แต่ในระบบเกษตรอินทรีย์เองก็ตาม ก็ไม่สามารถเลี่ยงได้เลยที่ผลผลิตจะมีสารเคมีตกค้างหรือปนเปื้อน เพราะสภาพแวดล้อมมันถูกปนเปื้อนไปมากพอสมควรแล้ว ทั้งในดินในอากาศก็ดี หรือน้ำฝนที่ตกลงมาก็ดี ซึ่งเราไม่สามารถที่จะควบคุมพื้นที่เหล่านั้นให้ไม่มีสารเคมีเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ได้เลย ดังนั้น การกล่าวอ้างว่าผลผลิตเกษตรอินทรีย์ไม่มีสารปนเปื้อน จึงเป็นการกล่าวอ้างที่เกินจริง เพราะมันเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ระดับการตกค้างจะมีมากหรือน้อยเท่านั้นเอง
Q: คิดว่าความเข้าใจเรื่องเกษตรอินทรีย์ระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ คนรุ่นใดมีความเข้าใจเรื่องนี้มากกว่ากัน เพราะอะไร แล้วคนรุ่นใหม่หันมาทำเกษตรอินทรีย์กันมากน้อยแค่ไหน
A: ผมคิดว่าไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก เพราะคนส่วนใหญ่ก็ยังคงเข้าใจผิดคล้าย ๆ กัน
ส่วนที่ว่าคนรุ่นใหม่หันมาทำเกษตรอินทรีย์มากกว่าหรือไม่นั้น ข้อนี้ผมไม่แน่ใจ ส่วนใหญ่ครอบครัวเกษตรกรในชนบท ลูกหลานยังไม่ได้มีเป้าหมายกลับไปทำการเกษตร มีบ้างที่กลับไปสืบต่อเกษตรอินทรีย์ แม้ว่าอาจมีสัดส่วนสูงกว่าเกษตรทั่วไป แต่นับว่ายังมีน้อย
อาจจะมีกระแสของคนเมืองที่หันมาสนใจเรื่องการทำเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้น เริ่มต้นจากเรื่องความปลอดภัยของอาหาร จึงเกิดความสนใจในแง่นี้เป็นพิเศษ โซเชียลมีเดียต่าง ๆ อาจจะมีผลต่อการทำให้รู้สึกว่าคนหันมาทำเกษตรอินทรีย์กันมากขึ้น แต่ในความเป็นจริง ยังเป็นส่วนน้อย และในส่วนน้อยนั้น ยิ่งน้อยลงไปอีกหากนับส่วนที่ประสบความสำเร็จเรื่องเกษตรอินทรีย์ ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่น ทำได้เพียง 1-2 ปี แล้วขาดทุน อยู่ไม่ได้ ก็ตัดสินใจเลิกทำ ผมคิดว่าฟาร์มอินทรีย์ในปัจจุบัน อยู่ในรูปแบบของสถานที่พักผ่อน สถานที่ท่องเที่ยว มากกว่าเป็นฟาร์มที่ผลิตอาหารจริง ๆ จัง ๆ
แม้แต่ในระบบเกษตรอินทรีย์เองก็ตาม ก็ไม่สามารถเลี่ยงได้เลยที่ผลผลิตจะมีสารเคมีตกค้างหรือปนเปื้อน เพราะสภาพแวดล้อมมันถูกปนเปื้อนไปมากพอสมควรแล้ว ทั้งในดินในอากาศก็ดี หรือน้ำฝนที่ตกลงมาก็ดี ซึ่งเราไม่สามารถที่จะควบคุมพื้นที่เหล่านั้นให้ไม่มีสารเคมีเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ได้เลย
Q: แล้วปัจจุบัน Green Net ทำงานร่วมกับเกษตรกรรายย่อยในกี่จังหวัด มีเกษตรกรประมาณกี่คน คิดเป็นพื้นที่ประมาณกี่ไร่
A: ประมาณ 10 กว่าจังหวัด โดยแบ่งการทำงานของ Green Net ได้เป็น 2 ส่วน ได้แก่ สหกรณ์กรีนเนท และมูลนิธิสายใยแผ่นดิน โดยทำงานคู่กัน และเราเรียกทั้ง 2 ส่วนนี้เป็นชื่อเดียว คือ “Green Net”
เรายังได้ริเริ่มโครงการอยู่จำนวนหนึ่ง และอย่างน้อยมี 2 โครงการที่ริเริ่มกับ Green Net แล้วได้แยกตัวไปตั้งเป็นบริษัทของตัวเอง ดังนั้น ถ้านับพื้นที่ทั้งหมดของกรีนเนท เราทำงานครอบคลุมตั้งแต่เชียงรายจนถึงปัตตานีมากกว่า 20 จังหวัด เช่น กาแฟมีวนา (MiVana) นั่นก็เป็นการริเริ่มของ Green Net แต่พอถึงระยะหนึ่งก็แยกออกไป และการทำงานของเราไม่ได้มีขอบเขตเฉพาะในประเทศเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในอาเซียนด้วย
อย่างปัจจุบัน ผมเองก็รับหน้าที่เป็นประธาน ASEAN Organic Federation (สมาพันธ์เกษตรอินทรีย์อาเซียน) ซึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 6 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม
Q: การเปลี่ยนจากเกษตรทั่วไปมาทำเกษตรอินทรีย์ ทำให้ผลผลิตลดลงไหม
A: มีความเข้าใจผิดกันอยู่มากพอสมควร งานวิจัยที่ทำโดย องค์กรการเกษตรและอาหารแห่งสหประชาชาติ (FAO) ซึ่งสรุปสั้นได้ว่า มีฟาร์ม 2 ลักษณะ คือ ฟาร์มที่มีการใช้สารเคมีค่อนข้างสูง (intensive farming) พูดง่าย ๆ คือ พึ่งพาสารเคมีในการเพาะปลูกเพื่อให้พืชเจริญเติบโตค่อนข้างมาก ฟาร์มลักษณะนี้เปลี่ยนมาเป็นฟาร์มอินทรีย์ ผลผลิตจะลดลงอย่างน้อยในช่วง 2-3 ปีแรก หลังจากนั้น อาจจะกลับขึ้นมาเท่าเดิม หรือมากขึ้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่ฟาร์มอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของโลก คือ ฟาร์มที่ใช้ปัจจัยการผลิตภายนอก (extensive farming) ฟาร์มแบบนี้่ส่วนใหญ่เป็นเกษตรที่พึ่งน้ำฝน เมื่อเปลี่ยนมาทำเกษตรอินทรีย์ โดยปกติแล้วผลผลิตจะไม่ลดลง เพราะพึ่งพาปัจจัยการผลิตภายนอกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และมีแนวโน้มที่ผลผลิตในปีถัด ๆ ไปจะดีขึ้นด้วย
เพียงแต่บ่อยครั้งที่เกษตรกรมักเข้าใจว่า ถ้าเป็นเกษตรอินทรีย์ต้องไม่ใช้ปัจจัยการผลิตอะไรเลย ซึ่งแน่นอนว่าการไม่ใส่ปุ๋ยเลย ผลผลิตจะต้องลดลง หรือบังเอิญว่า ปีที่เราทดลองเปลี่ยนจากการใช้สารเคมีเป็นเกษตรอินทรีย์ ดันเจอปัญหาฝนแล้งพอดี เมื่อได้ผลผลิตลดลง เกษตรกรจึงรีบสรุปว่าเป็นเพราะเปลี่ยนมาทำแบบอินทรีย์นี่เอง ผลผลิตจึงลดลง ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงบางครั้งไม่ได้มาจากการเปลี่ยนวิธีทำเกษตร แต่มาจากปัญหาฝนแล้ง หรือการจัดการที่ผิดพลาด เรื่องเข้าใจผิดนี้พบได้อยู่บ่อยครั้ง
Q: ถ้าเกษตรกรต้องการปรับเปลี่ยนวิธีการทำเกษตรจากเคมีมาเป็นอินทรีย์ ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ผลผลิตจึงจะคงตัวหรือมากขึ้น แล้วในช่วงเวลาที่กำลังปรับเปลี่ยน สามารถทำเกษตรได้หรือเปล่า
A: นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความเข้าใจผิดด้วยเช่นกัน ว่าถ้าเปลี่ยนมาทำเกษตรอินทรีย์แล้วต้องพักดิน พักแปลงปลูกพืช จริง ๆ แล้วไม่มีความจำเป็นต้องทำอย่างนั้นเลย ถ้าต้องการจะเปลี่ยนเป็นอินทรีย์ สามารถลงมือเปลี่ยนได้เลย ตื่นขึ้นมาตอนเช้านึกอยากทำก็ทำได้เลย เพียงแต่ว่าผลผลิตที่ได้มานั้นจะขายเป็นพืชผักอินทรีย์เต็มตัวได้เมื่อไหร่ นั่นเป็นอีกประเด็น
ประเด็นที่ว่าจะขายเป็นเกษตรอินทรีย์เต็มตัวได้เมื่อไหร่ ก็เป็นที่ถกเถียงกันพอสมควร มีมาตรฐานที่กำหนดไว้ไม่เท่ากัน บางมาตรฐานที่ตั้งไว้สูงหน่อย คือ หลังจากที่ทำเกษตรอินทรีย์ไปแล้ว 36 เดือน จึงจะสามารถจำหน่ายผลผลิตเป็นเกษตรอินทรีย์ได้ หรือบางมาตรฐานบอก 24 เดือน 12 เดือน หรือระบบ PGS (ระบบชุมชนรับรอง) ที่เป็นมาตรฐานของไทยบางแห่งอาจจะระบุไว้ว่าเพียง 6 เดือนก็พอ
Q: หัวใจของการทำเกษตรอินทรีย์คืออะไร
A: เป็นการทำเกษตรที่รักษาสิ่งแวดล้อม การไม่ใช้สารเคมีก็เป็นหนึ่งในการรักษาสิ่งแวดล้อม แต่รู้ไหมว่าการรักษาสิ่งแวดล้อมมีมิติที่ลึกกว่านั้น
เกษตรกรมักจะเข้าใจว่ามีกฎระเบียบหลาย ๆ เรื่องที่เกษตรกร “ไม่ควรทำ” แต่ในทางเดียวกันก็มีอีกหลาย ๆ อย่างที่เกษตรกร “ควรต้องทำ” เช่นกัน เช่น เกษตรกรต้องกันพื้นที่ของฟาร์มไม่น้อยกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ สำหรับเป็นพื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยต้องไม่เข้าไปทำการผลิตอย่างจริงจัง เพื่อปล่อยให้เป็นที่อยู่ของพืชและสัตว์ท้องถิ่น ได้อยู่อาศัยและเติบโตในนั้นได้ หรือการปรับปรุงดิน โดยการปลูกพืชหมุนเวียน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการดูแลคุณภาพของดิน หรือป้องกันความเสี่ยงจากการชะล้างหน้าดินบนพื้นที่ลาดชัน เป็นต้น
ดังนั้น ถ้าจะให้พูดถึงหัวใจของเกษตรอินทรีย์ อาจจะพูดได้ว่าเป็นระบบเกษตรที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในหลาย ๆ มิติ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องสารเคมีเท่านั้น และคนที่จะได้รับประโยชน์ ไม่ใช่แค่ผู้บริโภค หรือเกษตรกร แต่เป็นทุกคนในประเทศ ในโลกนี้ เพราะเรามีสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น มีดินและน้ำที่สะอาดขึ้น มีความหลากหลายทางชีวภาพมากขึ้น มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลง มีการเก็บกักก๊าซเรือนกระจกในดินมากขึ้น เป็นต้น
Q: เกษตรกรรับมือกับแต่ละภัยพิบัติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอย่างไร
A: เวลาที่เราพูดถึงผลกระทบที่เกิดจากภาวะโลกร้อน คนส่วนใหญ่จะนึกถึงภัยพิบัติขนาดใหญ่ แต่สิ่งที่เป็นปัญหากับเกษตรกรมากกว่าคือ Low intensity impact หรือ การเปลี่ยนแปลงที่ดูเหมือนว่า มีผลเล็กน้อย เช่น ฝนที่ตกหนักในระยะสั้น ๆ หลังจากนั้นอากาศร้อนจัด ลักษณะแบบนี้จะไม่เกิดภัยพิบัติ แต่สภาพแวดล้อมจะเหมาะสำหรับการเกิดเชื้อรา ซึ่งจะทำให้ผลผลิตถูกทำลาย หรือช่วงกลางวันที่อากาศค่อนข้างร้อนมากกว่าสมัยก่อน ทำให้เกษตรกรต้องหลีกเลี่ยงการทำงานในช่วง 11 โมงถึงบ่าย 3 โมง ไม่สามารถทำงานกลางแจ้งได้เลย เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ว่านี้ บางคนก็จะปรับวิธีการทำงานใหม่ ถึงขั้นลงทุนติดไฟส่องสว่างเพื่อเปลี่ยนมาทำงานในช่วงเย็นถึงกลางคืนแทน เป็นต้น ปัญหาส่วนใหญ่ที่เราเจอ จึงไม่ใช่ปัญหาภัยพิบัติ แต่เป็นปัญหาการเปลี่ยนแปลงขนาดเล็ก ในระดับท้องถิ่น และบางครั้งก็ส่งผลในภาพใหญ่ด้วย คือ ได้ผลผลิตไม่ทันต่อความต้องการของตลาด แต่ก็ไม่ได้บ่อยครั้ง
การลดความเสี่ยงจากปัญหาเหล่านี้ จะต้องเริ่มจากการประเมินความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศในท้องถิ่นนั้น ๆ และปรับเปลี่ยนวิถีการผลิตของเกษตรกร ซึ่งต้องอาศัยการวิเคราะห์ในหลาย ๆ ด้าน เพื่อให้ชาวบ้านรู้ว่าควรปรับตัวอย่างไร
Q: การนำสินค้าออกสู่ตลาด จำเป็นต้องมีตรารับรองว่าเป็นเกษตรอินทรีย์หรือไม่
A: ไม่จำเป็นครับ ขึ้นอยู่กับผู้ซื้อเป็นหลักว่า ผู้ซื้อยอมรับมาตรฐานแบบไหน ซึ่งในการรับรองมาตรฐานหลายคนคิดว่าต้องเป็น third party (หน่วยงานอิสระ) รับรองเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติ first party คือ เกษตรกรรับรองตัวเอง และ second party คือ ผู้ซื้อ ก็สามารถรับรองให้ได้เช่นกัน ตราบเท่าที่ผู้ซื้อยอมรับ
Q: Green Net มีการสร้างการรับรู้ไปยังผู้ซื้ออย่างไรบ้าง เพราะปัจจุบันเกษตรอินทรีย์มีหลายแบรนด์มากขึ้น และเป็นที่นิยมของผู้บริโภคมากขึ้นด้วย
A: ปกติเราไม่ได้ขายโดยตรงกับผู้ซื้อ แต่จะขายผ่านซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งมีการแข่งขันค่อนข้างสูง การสร้างการรับรู้ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คือ ทำผ่านโซเชียลมีเดีย แม้ว่าเราจะเป็นผู้บุกเบิกและเป็นผู้นำทางด้านเกษตรอินทรีย์และแฟร์เทรด เราก็ยังคงต้องสื่อสารกับสังคมและกับผู้บริโภคอยู่ตลอด นอกจากนี้ เรื่องผลผลิตที่มีคุณภาพดีสม่ำเสมอ ก็เป็นส่วนสำคัญในการรับรู้ถึงการมีอยู่ของ Green Net เช่นกัน ถ้าในข้าวสารมีหินหรือก้อนกรวดแถมมาด้วย ต่อให้เราบอกว่าตัวเองเป็นสินค้าอินทรีย์ ก็ไม่มีคนซื้อ ดังนั้น เรื่องคุณภาพถือเป็นส่วนสำคัญของการสร้างการรับรู้ที่ Green Net ทำ
ส่วนการสร้างแบรนด์สินค้า ต้องบอกตรง ๆ ว่าที่ผ่านมา Green Net ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากนัก เพราะเราส่งออกเกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสินค้าก็จะเป็นแบรนด์ของลูกค้า ไม่ใช่แบรนด์ Green Net
Q: มีผลิตภัณฑ์อะไรบ้างที่เป็นแบรนด์ของ Green Net ทั้งส่วนที่จำหน่ายในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศ
A: ผลผลิตหลัก ๆ เป็นข้าว ซึ่งมีข้าวหลากหลายชนิด ได้แก่ ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ซึ่งอาจเป็นข้าวขาวและข้าวกล้อง นอกจากนั้น มีข้าวมะลิแดง ข้าวหอมนิล หรือ ข้าวที่ผสมกันระหว่างมะลิแดงกับหอมนิล เป็นต้น เฉพาะข้าวอย่างเดียวก็มีมากกว่า 10 ชนิดแล้ว
สินค้าอื่น ๆ ได้แก่ กะทิกระป๋องขนาดต่าง ๆ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ อันนี้ลูกค้าอาจจะนำไปทำช็อกโกแลต หรืออาหารอื่น ๆ ที่ใช้ของพวกนี้เป็นวัตถุดิบ มีชาใบหม่อน ซึ่งมีทั้งแบบซองชงและใบแห้ง มีน้ำมันมะพร้าว ผ้าฝ้าย ในส่วนของผ้าฝ้าย เราขายตั้งแต่เส้นด้าย ผ้าผืน จนกระทั่งมาเป็นเสื้อโปโลและเสื้อยืด และขายหนังสืออีกประมาณ 10 กว่าปก เป็นต้น
สำหรับกะทิ เป็นสินค้าที่ไม่ได้ขายในแบรนด์ Green Net แต่เป็นแบรนด์เมอริโต้ ซึ่งเป็นพันธมิตรของเรา ส่วนสินค้าอื่นที่ขายในประเทศจะเป็นแบรนด์ Green Net ทั้งหมด
Q: จำหน่ายสินค้าที่ช่องทางใดบ้าง
A: ถ้าเป็นสินค้าอาหาร เช่น ข้าว น้ำมันมะพร้าว กะทิ จะวางจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นส่วนใหญ่ โดยเลือกที่ที่เป็น local supermarket จริง ๆ เป็นตลาดของคนไทย เช่น Tops Supermarket, Villa Market, The Mall Group แต่ไม่ได้วางขายทุกสาขา จะกระจายออกไปยังสาขาที่มีกลุ่มเป้าหมายเท่านั้น อย่าง Tops Supermarket และ Villa Market บางที่ ไม่ได้มีกลุ่มเป้าหมายที่จะซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์มากนัก ทางห้างก็อาจไม่วางขายที่สาขานั้น ทางกรีนเนทเราไม่ได้มีสิทธิ์ในการตัดสินใจในเรื่องนี้
ส่วนของใช้จำพวกเสื้อและหนังสือ จะขายผ่าน Facebook เป็นหลัก และได้เริ่มทดลองขายผ่าน Shopee ปีนี้เป็นปีแรกด้วย ยังไม่ทราบว่าการตอบรับจะมากน้อยแค่ไหน นอกจากนั้นก็มีเมล็ดพันธุ์ ที่จะจำหน่ายตามคำสั่งซื้อ
Q: ในมุมมองของคุณวิฑูรย์ สิ่งที่ Green Net พยายามทำมาโดยตลอด มันเพียงพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่
A: ผมคิดว่าถ้าในระดับเกษตรกร ปัญหาท้าทายที่สุด ณ วันนี้ ไม่ใช่เรื่องโควิดหรอกนะ แต่เป็นปัญหาโลกร้อน บวกกับปัญหาสังคมคนสูงวัย โดยเฉพาะอายุเฉลี่ยของคนทำเกษตรที่เพิ่มขึ้น สองปัญหานี้เป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด ซึ่งเกษตรกรไม่ได้มีศักยภาพ หรือขีดความสามารถที่จะแก้ปัญหานี้เองได้ มองว่าภาคธุรกิจที่ทำเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ ควรรับสิ่งนี้เข้าไปเป็นโจทย์ปัญหาด้วย ต้องหาวิธีพัฒนาทางเลือกให้มันตอบโจทย์นี้ในอนาคต ซึ่งเป็นอนาคตระยะใกล้ เกิดขึ้นทุกวัน แต่เราอาจจะดูแคลนว่ามันไม่เร่งด่วน
ระยะเวลา 30 กว่าปีที่ทำงาน เราเห็นความแตกต่าง และการเติบโตได้อย่างชัดเจน ตอนเริ่มต้น แทบจะไม่มีใครรู้จักเกษตรอินทรีย์เลย ในประเทศไทยตอนนั้นมีคนทำอยู่ไม่กี่สิบคน จนกระทั่งตอนนี้ มีคนหันมาทำเกษตรอินทรีย์หลายหมื่นคนแล้ว Green Net เองก็เป็นคนเริ่มต้นในการพัฒนาเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ ทั้งเรื่ององค์ความรู้ การตรวจรับรอง การจัดการห่วงโซ่ต่าง ๆ นานา และเรากล้าพูดได้ว่าคนที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ส่วนใหญ่ได้เรียนรู้มาจากการทำงานกับ Green Net
ด้านนวัตกรรม คุณเคยเห็นข้าวที่แพ็คในถุงสุญญากาศไหม จะเรียกว่าเป็นแนวคิดที่มาจาก Green Net ก็ได้ ผมเองเป็นคนพัฒนานวัตกรรมนี้ขึ้นมา และคิดว่า Green Net อาจจะเป็นเจ้าแรกของโลกเลยก็ได้ที่ทำ เพราะเรายังไม่เคยเห็นใครทำ สำหรับในยุคนั้นนะครับ จนตอนนี้มันได้กลายเป็นมาตรฐานการบรรจุภัณฑ์อย่างหนึ่งของคนที่ทำเรื่องข้าวไปแล้ว
รวมถึงระบบการตรวจรับรองมาตรฐานที่เราได้รึเริ่มขึ้นในประเทศไทย มีชื่อว่า “สำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์” ซึ่งเป็นหน่วยงานแรกในทวีปเอเชีย ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นการตรวจแบบมาตรฐานสากล ถึงแม้ปัจจุบันจะไม่ได้เป็นหน่วยงานเดียวแล้ว แต่ก็ยังเป็นหน่วยงานหลักของคนทำเกษตรอินทรีย์ในภูมิภาคอาเซียน
รวมทั้ง การพัฒนาเครื่องมือกระบวนการปรับเปลี่ยนเกษตรกรให้หันมาทำเกษตรอินทรีย์ การตรวจรับรองของระบบควบคุมภายใน หรือการรับรองแบบมีส่วนร่วม (participatory guarantee system – PGS) ซึ่งทั้งหมดก็คือเครื่องมือที่ทำงานกับเกษตรกร แต่ก็น่าแปลกที๋คนส่วนใหญ่ที่ได้เอาเครื่องมือนี้ไม่ใช่อาจจะไม่รู้ว่า กรีเนทเราเป็นคนพัฒนาเครื่องมือพวกนี้ขึ้นมา
ผลกระทบเชิงบวกก็เริ่มเห็นได้ เช่น การที่ประเทศไทยได้รับการยอมรับในเรื่องเกษตรอินทรีย์ รวมทั้ง การพัฒนาเกษตรอินทรีย์ในภูมิภาคอาเซียน ที่เราได้เข้าไปมีส่วนช่วย เช่น ในประเทศลาว คนที่ทำเกษตรอินทรีย์เกือบทั้งหมดที่นั่นจะรู้จัก Green Net เพราะเคยฝึกอบรมกับ Green Net มาก่อน
Q: ในระยะเวลาเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา มีปัญหาอุปสรรคอะไรบ้าง แล้วผ่านมาได้อย่างไร
A: มีปัญหาทุกอย่างหละครับ ไม่มีเรื่องอะไรที่ไม่เป็นปัญหา (หัวเราะ) คือ ปัญหาอุปสรรคมันมีบริบทของมัน ถ้าแยกเป็นช่วง ๆ ในช่วง 5-10 ปีแรกของเรา เป็นช่วงทดสอบโมเดลว่ามันจะเวิร์คไม่เวิร์ค เพราะไม่มีใครเคยทำมาก่อน ความหมายของโมเดลที่ว่านี้ คือ
- เป็นภาคสังคมที่ออกมาทำธุรกิจ หรือเป็นธุรกิจเพื่อสังคม แต่ไม่ใช่ธุรกิจที่เป็นธุรกิจทั่วไป
- การทำงานแบบเครือข่าย หรือเรียกว่าเป็นผู้ผลิตที่มีการกระจายทั่วประเทศหลาย ๆ กลุ่ม แม้แต่ปัจจุบันก็แทบจะไม่มีใครใช้โมเดลธุรกิจแบบนี้ในประเทศไทย
ดังนั้น 5-10 ปีแรก จึงเป็นการทดสอบโมเดลนี้ว่ามันจะเป็นไปได้ไหม
ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เมื่อเราได้ข้อสรุปจากช่วงแรกแล้วว่า มันมีความเป็นไปได้ เพราะตลาดเกษตรอินทรีย์มีการขยายตัว และเป็นช่วงที่เรามีความมั่นคงพอสมควร จึงหยิบยกประเด็นที่น่าสนใจ และต้องขยับขยายมาทำเพิ่มเติม เช่น ความมั่นคงทางอาหาร การปรับตัวรับมือโลกร้อน และอื่น ๆ
ถามว่าทำไมเราถึงไม่ทำเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายคนไม่เข้าใจ เวลาที่เราไปทำงานกับเกษตรกร เราจะต้องเริ่มด้วยการตอบประเด็นโจทย์ในใจเขาก่อน ซึ่งก็คือ เรื่องรายได้ เรื่องเศรษฐกิจ ไม่ใช่เริ่มจากโจทย์ที่เป็นประเด็นของเรา (ความมั่นคงทางอาหาร โลกร้อน ความเท่าเทียมทางเพศ หรืออะไรต่าง ๆ นานา) เมื่อเราสามารถเริ่มตอบโจทย์ของเขาได้แล้ว เราก็ค่อยเริ่มเอาโจทย์ของเราเพิ่มเข้าไป เพราะถ้าเราไม่สนใจโจทย์ของเรา แต่พยายามยัดเยียดโจทย์ของเรา ผมว่ามันไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่ และยากที่จะประสบความสำเร็จที่ยั่งยืน (ย้ำที่ยั่งยืน) และเป็นเหตุผลว่า ทำไมเรื่องพวกนี้ถึงต้องมาทำทีหลัง
Q: อะไรคือผลลัพธ์ทางสังคมที่ได้จากการทำงานของ Green Net
A: ในแง่เศรษฐกิจ กลุ่มชาวบ้านที่กรีนเนททำงานด้วยนั้นมีรายได้ที่ดีขึ้น และมีการพัฒนาในหลายด้าน แต่ที่เราภูมิใจมากก็คือ การที่ทำให้คนมีแนวคิดเรื่องเกษตรอินทรีย์เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งกลุ่มที่ใช้โมเดลการทำงานที่เราพัฒนาขึ้น ถือเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการทำงานของเรา และขอบเขตไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในเมืองไทย แต่ขยายไปถึงระดับภูมิภาคอาเซียน น่าจะเป็นความภูมิใจที่สุดแล้วในฐานะคนทำงานคนหนึ่ง
Q: ชีวิตของเกษตรกรเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง เมื่อได้ทำงานในเครือข่ายของ Green Net
A: ผมคงไม่กล้าที่จะเคลมว่า เกษตรกรสมาชิกกรีนเนทมีความสุขขึ้น หรือชีวิตดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน เพราะมันไม่มีเครื่องมือที่ดีที่จะใช้วัดสถานะของชีวิตและความสุข แต่สิ่งหนึ่งที่เราค่อนข้างมั่นใจ คือ เรามีสมาชิกที่หันมาทำเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้น คนที่ถอนตัวออกจากเราก็มี แต่อยู่ในสัดส่วนที่น้อยกว่ามาก น่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมถึงเกษตรกรเพื่อนบ้านข้างเคียง เมื่อเห็นว่าเพื่อนบ้านมีชีวิตที่ดีขึ้นจากการทำเกษตรอินทรีย์ ก็อาจจะอยากลองด้วย ผมคิดว่านี่เป็นข้อบ่งชี้ได้ประการหนึ่ง
Q: ก้าวต่อไปของ Green Net จะเป็นอย่างไร
A: ก้าวต่อไป ก็คงจะต้องก้าวต่อไปครับ (หัวเราะ) อาจจะต้องเตรียมการผลัดยุคจาก 30 ปีที่ผ่านมา เข้าสู่ยุคคนรุ่นใหม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นที่กำลังเตรียมการ คนที่เริ่มต้นอย่างผมอาจจะต้องเตรียมการเกษียณหรืออะไรบางอย่าง และเปลี่ยนยุคการทำงานของ Green Net เข้าสู่ยุคที่ 2 หรือเวอร์ชัน 2 เราอาจจะมีเวอร์ชัน 1.1, 1.2, 1.3 มาแล้ว ตอนนี้ก็เตรียมเข้าสู่ยุคใหม่
Q: อะไรคือความสุขของคุณวิฑูรย์ที่ได้ทำงานนี้
A: ไม่รู้เหมือนกันว่ามีความสุขมากขึ้นหรือเปล่า ผมคิดว่าความอิ่มใจเป็นเรื่องของแต่คน ว่าจะมีความสุขในเรื่องอะไร การที่เราตื่นมาทำงานทุกวัน คำถามแรก ๆ ในหัว คือ เกษตรกรได้ประโยชน์จริงไหม นี่เป็นคำถามที่สำคัญที่สุด เพราะทั้งหมดที่เราทำ ก็เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย นั่นก็คือ เกษตรกรรายย่อย แต่อย่างน้อยผมก็รู้ว่า ถ้าผมไม่มีบ้าน ผมสามารถจะไปขออาศัยบ้านของเกษตรกรคนไหนอยู่ก็ได้ คิดว่ามีหลายคนยินดีให้ผมไปอยู่ฟรี ๆ นั่นคือความสุข (หัวเราะ) ก็คือเรามีพันธมิตรที่เป็นเสมือนเพื่อน ญาติพี่น้อง ที่พร้อมจะเกื้อกูลเราเสมอในยามที่เราต้องการ เพราะในการทำงาน เราไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบผู้ซื้อผู้ขายอย่างเดียว แต่ยังเป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ขอใช้คำว่า “พันธมิตรที่เป็นมากกว่าพันธมิตร” ก็แล้วกัน
Q: อยากฝากอะไรไปถึงผู้อ่าน
A: อยากจะย้ำเรื่องความเข้าใจเรื่องเกษตรอินทรีย์ ว่าไม่ใช่เกษตรปลอดสาร เพราะปัญหาหลาย ๆ อย่างมาจากความเข้าใจผิดในเรื่องนี้เรื่องเดียว ถ้าเข้าใจเรื่องเกษตรอินทรีย์ใหม่ว่า ไม่ใช่เกษตรปลอดสาร อาจจะทำให้เราเปลี่ยนมุมมองต่อเรื่องเกษตรอินทรีย์ และต่อโลกใบนี้ได้
อย่างหนึ่งที่ผมมักจะพูดกับคนเมืองค่อนข้างบ่อยในช่วงหลัง ๆ มานี้ ก็คือคำพูดที่ว่า “คนรุ่นเราเป็นคนรุ่นที่ทำลายสิ่งแวดล้อมมากที่สุด คนรุ่นปู่ รุ่นพ่อของเรา ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งเขาตายไป สิ่งแวดล้อมไม่ได้ถูกทำลายมากนัก เขาจึงได้ส่งมอบโลก สิ่งที่เป็นมรดกที่ดี ๆ ให้กับเรา แต่คนรุ่นเรากลับทำลายมัน และเรากำลังส่งมอบมรดกที่แย่มาก ก็คือ โลกที่แย่มากให้กับลูกหลานของเรา เพราะฉะนั้น จึงเป็นความรับผิดชอบของคนรุ่นเรา ที่จะต้องหยุดการทำลายล้างที่ว่านี้ นี่เป็นเรื่องที่จำเป็นและเร่งด่วนมาก”